‘พงศพัศ’แฉ ยาบ้าย้ายเส้นทางจากเหนือเข้าท่าลี่ ผู้ว่าฯเลยสั่งจับตาเข้มตามแนวชายแดน

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวระหว่างการนำกำลังเข้ายึดทรัพย์มูลค่า 150 ล้านบาทของนายอนันต์ ใจวัน อายุ 42 ปี เจ้าของเวียงพร้าวเรดิโอ เอ็มเอ็ม 102.0 MHz จ.เชียงใหม่ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมพร้อมยาบ้า 292,000 เม็ด เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาว่า ในปีที่ผ่านมา ป.ป.ส. ได้ทำการยึดทรัพย์ยาเสพติดไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท โดยครั้งหนึ่งเป็นการจับกุมได้อย่างมหาศาลในพื้นที่ภาค 5 อย่างไรก็ตามยังมีอีกมากที่ต้องเร่งดำเนินการอีก และโครงข่ายยาเสพติดในประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกันหมด ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ส่วนมากเป็นยาเสพติดจากภาคเหนือเข้ามาสู่กรุงเทพฯ ทว่าเมื่อรัฐมีความเข้มงวดขึ้น ก็ย้ายเส้นทางมาทางด่านท่าลี่ จ.เลย และ จ.กาญจนบุรี แทน

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ 

ด้านนายนายวิโรจน์  จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย มอบนโยบายการปฏิบัติการเด็ดขาดกับขบวนการยาเสพติดแก่หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่า จากการดำเนินนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามขบวนการยาเสพติดอย่างเฉียบขาดของรัฐบาล  ทำให้ขบวนการยาเสพติดต้องปรับยุทธศาสตร์  จากการใช้เส้นทางลำเลียงยาเสพติดเข้าทางชายแดนภาคเหนือ มาเป็นการลำเลียงผ่านประเทศเพื่อนบ้านแล้วนำเข้าสู่ประเทศไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแทน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ หน่วยปราบปรามยาเสพติด จับกุมขบวนการค้ายาบ้า ได้ที่จังหวัดเพชรบูรณ์  จำนวนหลายล้านเม็ด ผู้ถูกจับกุมรับสารภาพว่า ลำเลียงจากประเทศเพื่อนบ้านภาคเหนือ ผ่านมาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และเข้าประเทศไทยด้านจังหวัดเลย 

ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า จึงขอความร่วมมือทุกภาคส่วน  ระวังการใช้แนวชายแดนจังหวัดเลย เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด เนื่องจากประเทศไทยมีการเข้มงวดป้องกันการลำเลียงและขนย้ายยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือมากขึ้น ทำให้ขบวนการค้ายาเสพติดเปลี่ยนมาใช้เส้นทางลำเลียงเข้าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้นแทน  และจังหวัดเลย เป็นจังหวัดที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางน้ำ  จึงต้องใช้มาตรการป้องกันปัญหานี้อย่างเข้มงวด และจริงจัง  จึงขอความร่วมมือในการสอดส่อง  แสวงหาข้อมูล  ความเคลื่อนไหว  พร้อมทั้งสร้างกระบวนการชุมชนเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันป้องกันไม่ให้ขบวนการยาเสพติดใช้จังหวัดเลยเป็นพื้นที่ปฏิบัติการได้  หากพบเห็นหรือรู้เบาะแส ให้รีบแจ้งนายอำเภอทุกพื้นที่โดยด่วน  เพื่อจะได้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดต่อไป.