จากกรณีที่ผู้ผลิตยางรถยนต์สองรายใหญ่ของโลกคือ มิชลินและบริดจสโตนได้ประกาศไม่รับซื้อยางพาราจากพื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทย
เนื่องจากพบว่ากว่าร้อยละ 80%
ของพื้นที่มีการใช้กรดซัลฟิวริกใส่ในน้ำยาง เพื่อให้น้ำยางเซทตัวเร็ว
ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องถึงคุณภาพและอายุการใช้งานของยางล้อรถยนต์สั้นลง
นอกจากนี้กรดดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่ออายุต้นยาง จากเดิมที่มีอายุการกรีดนาน 30 ปี
เหลือแค่ 15 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกันยังตัดสินใจยุติแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์มูลค่ากว่า
2,000 ล้านบาทในภาคอีสานด้วยนั้น
นายวชิรวิญช์
สกุลดีโชติวัฒน์
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเลย และเป็นผู้ประกอบการรับซื้อ-ขายยางพารารายใหญ่ของจังหวัดเลย
เห็นว่า กรณีนี้มีผลกระทบด้านราคาที่อาจปรับลดต่ำลงแน่นอน
เพราะผลผลิตยางก้อนถ้วยซึ่งปกติก็มีราคาต่ำอยู่แล้ว จะยิ่งถูกตอกย้ำให้ตกต่ำลงอีก อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องตามมาคือสังคมและเศรษฐกิจ
อาทิ รายได้ การลดพื้นที่ปลูก หนี้สินของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามผลผลิตยางของเกษตรกรจะยังขายได้ต่อไป
เพราะยางก้อนถ้วยมีการนำไปทำผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ยางล้อรถยนต์เพียงอย่างเดียว
แต่เกษตรกร และผู้รับซื้อต้องปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า และถือเป็นโอกาสในการพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกรกลับทำยางแผ่นในบ้านจังหวัดเลยอีกครั้ง ผลต่อภาพลักษณ์วัตถุดิบของไทยไม่มีคุณภาพ ปกติคู่ค้าจะไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ ตามขั้นตอนของในระดับสากลต้องขอให้มีการทบทวนข้อตกลง
และทำความเข้าใจกันก่อน ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเลยกล่าว
นายวชิรวิญช์ สกุลดีโชติวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เลย |
ด้านปฏิกิริยาในโซเชี่ยลมีเดีย หลังข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป
เกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดเลยส่วนใหญ่มีท่าทีตัดพ้อ ว่าขณะนี้ราคาก็ตกต่ำอยู่แล้ว
ยังถูกซ้ำเติมอีก และบางส่วนได้ชักชวนให้ชาวอีสานงดซื้อยางรถยนต์สองยี่ห้อนี้เพื่อเป็นการตอบโต้ด้วย
สำหรับ การซื้อขาย-ยางก้อนถ้วยในพื้นที่จังหวัดเลย
หลังมีกระแสข่าวดังกล่าวออกมา ยังคงเป็นไปตามปกติ
ราคาที่ร้านรับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 21.50 – 22.50 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น