ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้ มีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ได้พากันตัดสินใจลาออกจากงานในเมืองใหญ่ เพื่อกลับบ้านมาเป็นเกษตรกร ดำเนินตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว เพราะการทำเกษตรต้องใช้ความอดทนอย่างสูง ทั้งเงินทุนตั้งต้น รายได้ขาดหายระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงจำใจยกธงขาว กลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนในเมืองหลวงเช่นเดิม
สุรีรัตน์ สิงห์รักษ์ - รณกร จันทโรทัย |
สุรีรัตน์เล่าว่า เดิมนั้นเป็นนักเรียนทุนในพระราชานุเคราะห์ของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อเรียนจบชั้นปริญญาตรี ก็เข้าไปทำงานเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลทางการแพทย์ของบริษัทวิจัยเอกชนแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ได้กลับบ้านมาช่วยพ่อแม่หักข้าวโพด ก็ได้รู้สึกถึงความเหนื่อยยาก ที่ดินกว่า 60 ไร่ เป็นภูเขาหัวโล้น ดินแดง แข็งๆ มีแต่ปลูกข้าวโพด และกะทกรก พ่อกับแม่ต้องใช้สารเคมีตลอดเวลา เพื่อให้ได้ผลผลิตมากๆ แล้วจะได้นำเงินไปใช้หนี้ธ.ก.ส. ปีละกว่า 200,000 บาท แทบจะไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายในครอบครัว อีกทั้งสุขภาพของพ่อแม่ก็เริ่มป่วยบ่อยขึ้น เพราะผลจากการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช ถ้าปีไหนโชคร้าย ราคาข้าวโพดตกต่ำ หรือเกิดภัยแล้ง เงินที่ได้ก็ไม่พอใช้หนี้ พ่อกับแม่ต้องเครียดจนล้มป่วย
หลังจากนั้น ตนจึงคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงที่ดินผืนนี้เป็นป่าที่กินได้ ต้องลดค่าใช้จ่ายลงให้ได้มากที่สุด และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ จึงได้เริ่มเพาะกล้าต้นไม้ ที่ระเบียงหลังห้องพักในกรุงเทพ โดยศึกษาหาความรู้จากอินเตอร์เน็ต เมล็ดผลไม้ที่กินแล้วก็จะไม่ทิ้ง นำไปเพาะให้หมด แล้วส่งพัสดุไปรษณีย์มาให้พ่อกับแม่และน้องสาวช่วยกันนำต้นกล้าใส่ถุงไว้ เมื่อตนกับแฟนกลับมาเยี่ยมบ้านก็จะช่วยกันปลูกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่า คนทางบ้านต้องเหน็ดเหนื่อยกับการนำต้นกล้าลงถุงเพาะชำ ประกอบกับต้นไม้ที่ปลูกก็เริ่มเจริญงอกงาม ตนจึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ทำเกษตรอย่างเต็มตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยินดี และเลิกปลูกข้าวโพด หันมาปลูกไม้ผลอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 เดือน แฟนของตนก็ลาออกจากงานวิศกรรมอิเล็คทรอนิกส์ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มาช่วยกันปลูกต้นไม้อย่างจริงจัง
สำหรับต้นไม้ที่ปลูก ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ผลเ เช่น มะคาเดเมีย กาแฟพันธุ์อาราบิก้า ฝรั่ง อะโวคาโด ขนุน ต้นหว้า อินทะผาลัม ฯลฯ โดยปลูกแซมไปตามแนวต้นกล้วย ให้เทวดา ฟ้าฝน และสิ่งมีชีวิตในไร่ดูแลกันเอง นอกจากนี้ยังมีรายได้หลักอยู่ที่สตรอเบอรี่ ซึ่งเมื่อเทียบการปลูกข้าวโพด 60 ไร่ กับสตรอเบอรี่เพียง 1 งาน ขายได้มากกว่า ใช้ต้นทุนน้อยกว่า และไม่ต้องเสี่ยงกับพิษจากสารเคมีปราบศัตรูพืชด้วย
ความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เลิกปลูกข้าวโพด แล้วมาทำสวนผสมที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน พ่อกับแม่มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น เพราะไม่ได้สัมผัสกับสารเคมีปราบศัตรูพืช ได้กินพืชผัก ผลไม้ที่ปลูกเอง เป็นสมุนไพรป้องกันรักษาโรคไปในตัว พ่อกับแม่แทบจะไม่ต้องไปหาหมอ อย่างมากก็เป็นหวัดปีละไม่เกิน 2 ครั้ง ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวลงกว่าครึ่งหนึ่ง พืชผักผลไม้เก็บขายได้หมุนเวียนกันตลอดทั้งปี เหลือจากขายและรับประทานแล้ว ก็แจกจ่ายหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านด้วย นอกจากขายผลผลิตแล้ว ยังมีการเพาะชำกล้าไม้ขายได้ด้วย ทำให้มีรายได้เฉลี่ยปีละ ประมาณ 300,000 บาท สามารถขอปรับโครงสร้างการหนี้กับ ธ.ก.ส. ผ่อนชำระได้อย่างไม่เร่งรีบมากนัก ปัจจุบันก็เกือบลดลงได้ทั้งหมดแล้ว
ไร่ข้าวโพดในอดีต ก่อนจะมาเป็นไร่ลองเลย |
ไร่ลองเลยในปัจจุบัน |
ไร่ลองเลย จึงถือเป็นตัวอย่างของรางวัลที่เกิดจากความอดทน เพียรพยายามของคนวัยหนุ่มสาว หากเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอยู่ในขณะนี้ ได้หันมาทำเช่นไร่ลองเลย นอกจากจะมีผลผลิตที่กำหนดราคาเอง ขายได้ทั้งปี มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็นป่าธรรมชาติ ฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมให้สมดุลได้อีกด้วย คนกับป่าพึ่งพาอาศัยอยู่ด้วยได้อย่างลงตัว
พิสูจน์ให้เห็นว่า การเดินตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมหาปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสร้างชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น และสัมผัสได้จริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น