ที่ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลเชียงคาน
อ.เชียงคาน จ.เลย มีการรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกด้วยการกางมุ้ง
3 สี ประกอบด้วย
สีเขียว สีขาว และสีชมพู
จำแนกตามอาการผู้ป่วย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง หลังจากมีผู้โพสต์ลงในโซเชี่ยลมีเดีย
โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นชื่นชมกับแนวคิดนี้
ถือเป็นมิติใหม่ในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ที่ยังไม่มีทำในแห่งอื่นๆมาก่อน
แพทย์หญิงระพีพรรณ
จันทร์อ้วน
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงคาน เปิดเผยว่า
ก่อนที่จะนำมุ้งมาใช้ร่วมกับการรักษาผู้ป่วย ในอำเภอเชียงคานยังไม่มีการระบาดของไข้เลือดออก แต่มีผู้ป่วยที่มีเชื้อมาจากฝั่ง สปป.ลาว
ทางโรงพยาบาลจึงต้องควบคุมไม่ให้มียุงกันผู้ป่วยและแพร่เชื้อออกไป เมื่อผู้ป่วยที่มีเชื้อเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล
จึงต้องป้องกันไม่ให้ยุงกัด
หากยุงกันคนที่มีเชื้ออยู่แล้ว ก็จะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปหาคนอื่นๆ ทางโรงพยาบาลได้กางมุ้งให้ผู้ป่วย
ซึ่งเดิมก็ทำกันอยู่แล้ว แต่จะกางอย่างเดียวก็ดูธรรมดาเกินไป จึงนำมุ้งมาผนวกกับการรักษาผู้ป่วย ให้มุ้งมีคุณค่ามากกว่าความเป็นมุ้ง โดยเลือกมุ้ง 3 สีมากางให้ผู้ป่วย ประกอบด้วย
สีชมพู เป็นผู้ป่วยระยะวิกฤต ต้องเอาใส่ใจดูแลอย่างใกล้ชิด สีขาว
เป็นผู้ป่วยอยู่ในช่วงเฝ้าระวังตามแนวทางการรักษา
สีเขียว คือ ผู้ป่วยระยะพักฟื้น
หลังจากนำมุ้งสามสีมาใช้กับผู้ป่วย
ก็ทำให้กระตุ้นบรรยากาศการทำงานของเจ้าหน้าที่พยาบาลและญาติดูตื่นเต้นขึ้น
รู้สึกดีทุกครั้งที่จะมีการเปลี่ยนสีมุ้งให้ผู้ป่วยที่อาการดีขึ้น
ถือเป็นการเตือนใจและรณรงค์ให้กับผู้ป่วยและญาติว่าต้องดูแลและป้องกันไม่ให้เป็นไข้เลือดออกอีก
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงคาน กล่าว
ด้านนางสาวปัญญาพร
พันธ์ผูก
ผู้ปกครองเด็กที่เข้ารับการรักษาโรคไข้เลือดออก เปิดเผยว่า การที่นำมุ้งสามสีมาใช้ในโรงพยาบาล ก็รู้สึกดีที่ทางแพทย์และพยาบาลเอาใจใส่บุตรหลาน
ไม่เคยเห็นมาก่อนในโรงพยาบาลอื่นๆ
เป็นการป้องกันไม่ให้ยุงกัดทั้งกลางวันและกลางคืน
เบาแรงของคนเฝ้าไข้ไม่ต้องมาคอยปัดเป่าไล่ยุง
ลูกของคนเข้าโรงพยาบาลมาสามวันแล้ว รู้สึกว่าหายเร็วกว่าที่คาดไว้ เป็นแนวคิดที่ดีมาก
สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออกในอำเภอเชียงคาน ช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
พบผู้ป่วยแล้วจำนวน 21 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 34.33 รายต่อประชากร
1 แสนคน
และจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยแล้ว 77 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 291.30 รายต่อประชากร 1 แสนคน ขณะที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกทั้งจังหวัด
นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่
13 กรกฎาคม 2562 มีจำนวน 765 คน สูงเป็นอันดับที่ 9 ของประเทศ โดยมีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 2 คน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น