เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ตามที่รัฐสภาได้เปิดประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ 2563 เป็นวันแรกนั้น นายเลิศศักดิ์
พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย เขต 1
พรรคเพื่อไทย ในฐานะฝ่ายค้าน ได้รับโอกาสจากพรรคให้ขึ้นอภิปรายในครั้งนี้ด้วย โดยได้เน้นไปที่การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และโครงการพัฒนาระบบคมนาคมต่อเนื่องจากการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
นายเลิศศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจ
และมองข้ามความสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด รัฐบาลได้เพิกเฉยต่อกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการที่จะพัฒนาประเทศและสร้างความเจริญให้ได้อย่างทั่วถึง กฎหมายฉบับนี้คือ พระราชบัญญัติกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ. ศ. 2542 ซึ่งกำหนดสาระสำคัญไว้ 2 ประการ คือ ประการแรก กำหนดให้รัฐบาลจะต้องจ่ายภารกิจถ่ายโอนบริการสาธารณะให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประการที่ 2 คือการกำหนดในส่วนของงบประมาณที่จะจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เพียงพอต่อการบริการสาธารณะ
ซึ่งในพ.ร.บ.
ฉบับนี้ กำหนดจุดเป้าหมายสำคัญก็คือ จะต้องให้ท้องถิ่นมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลไม่น้อยกว่าร้อยละ
35 แต่เมื่อพิจารณาในส่วนของร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้
รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ให้กับท้องถิ่นในปีนี้ 804,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 7.1 ก็จริง แต่ในสัดส่วนรายได้สุทธิของท้องถิ่นต่อของรัฐบาลยังคงอยู่ที่ร้อยละ
29.4 เท่ากับปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่ายังห่างไกลเป้าหมายร้อยละ
35 และก็จะทำให้ท้องถิ่นยังคงขาดแคลนงบประมาณในการที่จะพัฒนาและก็สร้างความเจริญให้กับท้องถิ่นเอง
และที่สำคัญที่สุด
รัฐบาลได้ลวงพลาง เอานโยบายของรัฐบาลไปซุกไว้ในแผนการใช้จ่ายเงินของท้องถิ่น ซึ่งทำให้สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลของท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลดูสูงขึ้น เช่นเอาโครงการอาหารกลางวันและนมโรงเรียน ซึ่งรัฐบาลโอนผ่านท้องถิ่นและให้ท้องถิ่นโอนต่อไปให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่อไปทีหนึ่ง โครงการค่าตอบแทนให้แก่อสม.หรือโครงการเบี้ยยังชีพเหล่านี้เป็นเงินทั้งสิ้นกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นล้านบาท ที่หนักไปกว่านั้น และกำลังจะเป็นปัญหาสำหรับท้องถิ่นทั้งหมดก็คือ
ประมาณการรายรับในส่วนที่ท้องถิ่นจัดเก็บเอง ซึ่งคาดว่าจะได้สูงขึ้นนี่คือความคาดหวังของรัฐบาล โดยใช้พ.ร.บ. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะประกาศใช้ในวันที่
1 มกราคมปี 2563 นี้คาดการณ์ว่าจะได้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง ได้มีการสำรวจไปที่ท้องถิ่นหลายแห่งพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันครับว่าพ.ร.บ.
ฉบับนี้จะทำให้ท้องถิ่นจัดเก็บรายได้ได้น้อยลงซึ่งจะไม่ตรงกับความเป็นจริงที่รัฐบาลได้คาดหวังไว้ ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณในลักษณะนี้ถือว่ารัฐบาลกำลังแช่แข็ง
และทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่อนแอลง
มีอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากว่ารัฐบาลจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสมกับการพัฒนา
และก็ไม่ช่วยลดในส่วนของความเหลื่อมล้ำก็คือการถ่ายโอนภารกิจแต่ไม่โอนงบประมาณ เช่นเรื่องของถนนท้องถิ่นซึ่งได้มีการถ่ายโอนจากกรมโยธาธิการ
ถ่ายโอนจาก รพช.ในอดีต และทางหลวงชนบท ถ่ายโอนภารกิจในการดูแลรักษาแต่ไม่ถ่ายโอนงบประมาณ จะสังเกตว่าเวลาเราไปท้องถิ่นพื้นที่ในชนบทได้เห็นว่าถนนหนทางเป็นหลุมเป็นบ่อชำรุดทรุดโทรม
แต่องค์การบริหารส่วนตำบลหรือว่าเทศบาลไม่มีงบประมาณไปดูแลรักษา
ขอให้รัฐบาลได้กรุณาจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้ในรูปแบบของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งในหมวดนี้มีงบประมาณไว้เพียงแค่ 5,000
ล้านบาทเศษเท่านั้น งบประมาณหลักๆยังคงอยู่ที่กรมทางหลวงชนบท นี่คือตัวอย่างของการที่รัฐบาลรวบรวมศูนย์อำนาจไว้ ยังไม่รวมภารกิจการแก้ปัญหาขยะล้นเมือง ภารกิจของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นภารกิจหลักของท้องถิ่นแต่รัฐบาลยังคงจัดสรรเงินไปที่กระทรวงมหาดไทยอยู่
นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในข้อเท็จจริงที่รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจ
นายเลิศศักดิ์กล่าวอีกว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวอีสานซึ่งกำลังจะได้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูง
สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา และก็ต่อจากนั้นก็จะเป็นขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เห็นความจำเป็นสำหรับการทำรถไฟความเร็วสูงโครงการนี้
และก็คิดว่านี่คือการพัฒนาศักยภาพระบบรางของประเทศและเป็นการพัฒนาภูมิภาค เชื่อมพม่า
-ลาว- จีน โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯนครราชสีมานี้จะต้องใช้งบประมาณในปี
2563 และงบประมาณปีต่อต่อไปสูงมาก
รัฐบาลจัดสรรงบประมาณลักษณะนี้ดี แต่กำลังจะทิ้งบางจังหวัดไว้ข้างหลัง ยกตัวอย่างเช่นจังหวัดบึงกาฬ หนองบัวลำภู เลย และสกลนคร ไม่อยู่ในเส้นทางของรถไฟความเร็วสูง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในอนาคตเมื่อรถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จ
จังหวัดใดที่อยู่ในเส้นทางของรถไฟความเร็วสูง สถานีตั้งอยู่ที่อำเภอใด อำเภอนั้นจะมีความเจริญก้าวกระโดด
และวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนก็จะเปลี่ยนไปด้วย
จึงอยากวิงวอนครับให้กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงได้หันมาพิจารณาเส้นทางของทางหลวงที่จะเชื่อมต่อจากจังหวัดต่างๆเหล่านี้ไปเชื่อมต่อถึงรถไฟความเร็วสูงในจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดเลยควรจะพัฒนาเส้นทางที่เชื่อมจังหวัดเลยไปยังจังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ไปใช้บริการรถไฟความเร็วสูงได้สะดวก
ยกตัวอย่างเช่นถนนทางหลวงสายเลย-ชุมแพ-ขอนแก่น ปัจจุบันยังเป็น
2 เลนสวนกันอยู่ อย่างนี้ก็ควรจะพัฒนาให้เป็น
4 เลน เพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือแม้กระทั่งทางเลี่ยงเมือง หรือยกตัวอย่างเส้นทางสายสำคัญอีกทางหนึ่งก็คือเลย-หนองคาย
ซึ่งเริ่มจากเชียงคาน - ปากชม - สังคม – ศรีเชียงใหม่ – ท่าบ่อ -หนองคาย เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงามมากเรียกว่าเป็นเส้นทางสายโรแมนติกก็ว่าได้ กรมทางหลวงควรจะหันมาพิจารณาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจังหวัดในลักษณะนี้ด้วย นายเลิศศักดิ์
พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย กล่าว
ทั้งนี้
หลังการอภิปรายจบ และมีการนำคลิปช่วงนี้ไปเผยแพร่ในโซเชี่ยลมีเดีย
ได้รับเสียงชื่นชมจากชาวจังหวัดเลยเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่ระบุว่านี่คือผู้แทนฯที่ประชาชนอยากเห็นมานานแล้ว
ทำงานคุ้มค่ากับภาษี.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น