เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓ (๙/๙/๖๓) ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงคาน จ.เลย นายภูริวัจน์ โชตินพรัตน์ นายอำเภอเชียงคาน นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในอำเภอเชียงคาน ประกอบพิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์พระยาศรีอรรคฮาต เจ้าเมืองปากเหืองคนสุดท้าย และนายอำเภอเชียงคานคนแรก โดยมีการรำบวงสรวงโดยสุภาพสตรีในอำเภอเชียงคานกว่า ๑,๒๐๐ คน ประกอบเพลงที่เขียนขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งอำเภอเชียงคานได้นำรูปปั้นของพระยาศรีอรรคฮาตมาประดิษฐาน ณ ที่ว่าการอำเภอเชียงคาน เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๒
เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้ ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านได้ปกครองเมืองเชียงคานอย่างสงบ ร่มเย็น ผาสุข และมีความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในห้วงที่เกิดข้อพิพาทสยามกับฝรั่งเศส พระยาศรีอรรคฮาต เป็นผู้มีความซื่อสัตย์ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมั่นคงถึงฝรั่งเศสจะเกลี้ยกล่อมหรือเบียดเบียนอย่างไร ก็มีความสวามิภักดิ์ มั่นคงมิได้แปรผันจนตลอดยุคกาลอริกับฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพอพระราชหฤทัยในความซื่อสัตย์ของพระยาศรีอรรคฮาต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาศรีอรรคฮาต
ทั้งนี้ จากการศึกษาค้นคว้าของนายธีระวัฒน์ แสนคำ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ระบุว่า พระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๖ สันนิษฐานว่าบุตรของพระศรีอรรคฮาต เจ้าเมืองปากเหือง
ซึ่งขึ้นกับเมืองพิชัย เดิมพระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) คงรับราชการเป็นท้าวเพี้ยกรมการเมืองปากเหือง
ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปฮาดเมืองปากเหืองในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๕) ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอุปฮาดเมืองปากเหือง พระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) ยังนำไพร่พลเมืองปากเหืองร่วมปราบฮ่อที่ยกลงมาทางเมืองปากเหืองและบริเวณใกล้เคียงในระหว่าง
พ.ศ.๒๔๑๙-๒๔๒๑
ต่อมาใน
พ.ศ.๒๔๒๕ เอกสารจดหมายเหตุระบุว่า พระศรีอรรคฮาต เจ้าเมืองปากเหือง
ได้ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง เนื่องด้วยความชราว่าราชการรักษาบ้านเมืองต่อไปไม่ได้
บรรดาท้าวเพี้ยกรมการเมืองปากเหืองจึงมีใบบอกไปยังพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร
ผู้สำเร็จราชการเมืองพิชัยเพื่อขอให้แต่งตั้งอุปฮาด (ทองดี) เป็นที่เจ้าเมืองแทน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นว่าเมืองปากเหืองอยู่ปลายเขตแขวงเมืองพิชัยต่อกับแขวงเมืองพวนต้องสืบสวนราชการอยู่เนืองๆ
จะให้ตำแหน่งเจ้าเมืองขาดว่างอยู่นั้นไม่ชอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งอุปฮาดเมืองปากเหือง (ทองดี) เป็นพระศรีอรรคฮาต เจ้าเมืองปากเหือง
เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๔๔
ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๕
ข้อความในเอกสารจดหมายเหตุยังระบุว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานถาดหมากเงิน ๑ คนโทเงิน ๑
เสื้อเข้มขาบริ้วขอ ๑ สัปทนแพรหรินแดงคัน ๑ แพรสีทับทิมติดขลิบ ๑
ผ้าม่วงจีนผืนหนึ่ง แพรขาวห่มเพลาะ ๑ เป็นเครื่องยศบรรดาศักดิ์อีกด้วย
ต่อมาสันนิษฐานว่ามีการเปลี่ยนชื่อเมืองปากเหืองมาเป็นเมืองเชียงคาน
ในช่วงประมาณระหว่าง พ.ศ.๒๔๒๖-๒๔๒๘ เนื่องจากเอกสารจดหมายเหตุที่พบในช่วงหลัง
พ.ศ.๒๔๒๘ ได้เรียกชื่อเมืองเชียงคานแทนเมืองปากเหืองแล้ว และเรียกชื่อพระศรีอรรคฮาต
(ทองดี) ว่าเป็นเจ้าเมืองเชียงคานแล้ว
ทั้งนี้คงเป็นเพราะราษฎรส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณปากเหืองอย่างแต่ก่อนแล้ว หากแต่ย้ายมาอยู่ริมฝั่งโขงบริเวณตรงข้ามเมืองเชียงคานเก่าที่ถูกกองทัพเมืองน่านเผาทำลายเมื่อ
พ.ศ.๒๓๗๐ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นอย่างน้อยแล้ว
ในการทำสงครามปราบฮ่อครั้งสุดท้าย
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๒๘-๒๔๓๐ พระศรีอรรคฮาต (ทองดี) พร้อมด้วยผู้ช่วย
อุปฮาดและท้าวเพี้ยเมืองเชียงคาน ได้คุมกำลังไพร่พลเมืองเชียงคานขึ้นไปรักษาราชการที่เมืองงอย
ทางตอนเหนือของเมืองหลวงพระบาง ภายใต้การคุมทัพของเจ้าหมื่นไวยวรนาถ (ภายหลังคือ
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เจิม แสง-ชูโต) การทำสงครามปราบฮ่อครั้งนี้ พระศรีอรรคฮาต
(ทองดี) และท้าวเพี้ยกรมการเมืองเชียงคานมีบทบาทในการช่วยเหลือราชการทัพและมีความชอบเป็นอย่างมาก
พระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) ได้ว่าราชการรักษาบ้านเมืองเชียงคานให้เป็นไปตามธรรมเนียมภายใต้การกำกับของเมืองพิชัย
ถึงเทศกาลพระราชพิธีตรุษ-สารทก็ได้นำท้าวเพี้ยกรมการเมืองเชียงคานไปร่วมพิธีกระทำสัตยานุสัตย์ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รับพระราชทานน้ำพระพิพัฒสัจจา ณ พระอารามที่เมืองพิชัยปีละ ๒ ครั้งไม่เคยขาด สร้างวัดโพนชัยขึ้นทางตอนเหนือของตัวเมือง
เพื่อรองรับการขยายครัวเรือนของราษฎรมาทางทิศตะวันตกเมื่อราว พ.ศ.๒๔๔๒ โดยย้ายโฮงหรือจวนเจ้าเมืองอันเป็นที่ใช้ว่าราชการเมืองด้วยมาอยู่ใกล้กับวัดโพนชัยซึ่งคือบริเวณโรงเรียนอนุบาลเชียงคาน
“ปทุมมาสงเคราะห์” ในปัจจุบัน และขอจัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทย-เลขลูกคิดขึ้นภายในเมืองเชียงคานเมื่อ
พ.ศ.๒๔๕๐ ดังปรากฏข้อมูลในราชกิจจานุเบกษา จนทำให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นรับสั่งถึงพระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) ในคราวย้ายเมืองเชียงคานมาขึ้นกับมณฑลอุดรว่า “พระยาศรีอรรคฮาตผู้ที่เป็นคนเก่าซื่อตรงจงรักภักดี
และมีความชอบมาแต่ก่อน”
ใน พ.ศ.๒๔๕๔
กระทรวงมหาดไทยได้พบปัญหาว่าเมืองเชียงคานซึ่งขึ้นกับเมืองพิชัยในมณฑลพิษณุโลกนั้น
การเดินทางไปมาระหว่างกันค่อนข้างไกลและลำบาก ทำให้การดูแลความสงบเรียบร้อยในเมือง
การควบคุมการค้าฝิ่นเถื่อนทำได้ยาก พระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) ก็แก่ชราลงมาก
อีกทั้งที่ตั้งเมืองเชียงคานอยู่ใกล้กับจังหวัดเมืองเลย มณฑลอุดรมากกว่า สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น
จึงขอพระราชทานกราบบังคมพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่
๖) เพื่อย้ายเมืองเชียงคานมาขึ้นกับจังหวัดเมืองเลย มณฑลอุดร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงอนุญาตตามประกาศกระทรวงมหาดไทยวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๔๕๔ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๕๔
การย้ายเมืองเชียงคานมาขึ้นกับจังหวัดเมืองเลยใน
พ.ศ.๒๔๕๔ ทำให้เมืองเชียงคานถูกลดฐานะจาก “เมืองเชียงคาน” มาเป็น
“อำเภอเมืองเชียงคาน” และพระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี)
ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเชียงคานก็ได้มีตำแหน่งเป็น
“ผู้ว่าราชการอำเภอเมืองเชียงคาน” ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับนายอำเภอตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเชียงคานคนสุดท้าย
และเป็นนายอำเภอเชียงคานเป็นคนแรก
ทั้งนี้
เหตุที่กล่าวว่าในปี พ.ศ.๒๔๕๔ เป็นปีที่ยุบเมืองเชียงคานเป็นอำเภอเชียงคานนั้น
ด้วยเอกสารราชการต่างๆ ในปีถัดได้ระบุชื่อ “อำเภอเชียงคาน” แทนชื่อเมืองเชียงคาน
เช่น เอกสารราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๕๕
ระบุว่ามีการตัดทางจากเมืองเลยมายังอำเภอเชียงคาน เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ราษฎร
เป็นต้น ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสถานะจากเมืองเชียงคานมาเป็นอำเภอเชียงคาน
ก็ได้มีการใช้โฮงหรือจวนของพระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) เป็นที่ว่าราชการอำเภอหรือที่ว่าการอำเภอเชียงคานเรื่อยมาจนถึงประมาณ
พ.ศ.๒๔๘๔
จึงมีการย้ายที่ว่าการอำเภอมาอยู่ที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเชียงคานในปัจจุบัน
เอกสารราชกิจจานุเบกษาระบุว่า
พระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) ถึงแก่กรรมด้วยอาการป่วยเป็นไข้ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน
๒๕๕๖ สิริรวมอายุ ๗๐ ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานหีบเพลิงมาพระราชทานเพลิงศพพระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ในการนี้ยังได้พระราชทานเงิน ๑๐๐๐ สตางค์
และผ้าขาว ๒ พับ มาพร้อมหีบเพลิงด้วย
พระยาศรีอรรคฮาต
(ทองดี) สมรสกับเจ้าแม่คำผิว
มีบุตร-ธิดาจำนวน ๖ คน คือ ท้าวสัมฤทธิ์
(อดีตอุปฮาตเมืองเชียงคานคนสุดท้าย), เจ้าแม่เจียงคำ, เจ้าแม่บุญเที่ยง,
เจ้าแม่บุนนาค, เจ้าแม่อินกอง และท้าวบัวรส นอกจากนี้ พระยาศรีอรรคฮาต (ทองดี) ยังถือเป็นต้นสกุล
“ศรีประเสริฐ” อีกด้วย.
x
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น