วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ลูกสาวโวยรพ.เลย หมอให้กลับบ้าน ทั้งๆที่แม่สมองบวม สุดท้ายดับสลด ด้านผอ.แจงคนไข้อาการดีขึ้น สมัครใจกลับเอง

 


น.ส.อัญญ์ฎานันท์  ไพศูนย์  อายุ 36 ปี  ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า  แม่ของตนคือนางหนูคิด  ไพศูนย์ อายุ 54 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 257 หมู่ 1 ต.ธาตุ  อ.เชียงคาน จ.เลย   ได้ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถยนต์ชนขณะขับรถจักรยานยนต์  เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563  ได้รับบาดเจ็บ  เลือดออกในสมอง เพราะศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรง ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเลย  แพทย์และพยาบาลได้ทำการรักษาเฝ้าดูอาการ

จนกระทั่งถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563  แพทย์เจ้าของไข้ ได้ให้ออกจากโรงพยาบาล กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ทั้งๆที่แม่ตนยังมีอาการปวดศีรษะและมึนงงอยู่ อีกทั้งยายผู้ดูแลแม่ก็บอกว่ายังไม่อยากกลับบ้าน ขอให้แพทย์รอดูอาการอีกระยะก่อน  แต่ทางแพทย์ก็ยืนยันว่า อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว กลับไปพักฟื้นที่บ้านอีกประมาณ 1 เดือนก็หายเป็นปกติ 

หลังจากนั้นก็พาแม่กลับบ้าน  เมื่อมาถึงได้ 10 นาที แม่ก็เกิดอาการช็อกหมดสติ ตนและญาติได้พากันส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเชียงคาน  พยาบาลก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ อาการยังไม่ดีขึ้น จึงรีบนำส่งต่อไปที่โรงพยาบาลเลย และเสียชีวิตในที่สุด 


น.ส.อัญญ์ฎานันท์  ไพศูนย์  


ตนและญาติทุกคน ติดใจในสาเหตุการตาย จึงขอให้โรงพยาบาลเลยส่งศพไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลศรีนครรินทร์ จ.ขอนแก่น  ผลการผ่า แพทย์ระบุสาเหตุการตายว่า เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง  สมองช้ำบวม  ซึ่งตนมาทราบจากแพทย์ว่า  โรงพยาบาลเลยไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง การรักษาต้องคอยปรึกษาถามจากแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีตลอด  การที่แม่เสียชีวิต ถือเป็นความผิดพลาดของแพทย์ ไม่มีการตรวจซ้ำก่อนให้แม่ออกจากโรงพยาบาล ทั้งที่แม่ยังมีอาการปวดหัว เดินไม่ได้ ขออยู่ต่อ ซึ่งตามกำหนดเดิมที่แพทย์บอกว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลไปจนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน จึงอยากให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องออกมาแสดงความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้  และขอให้ปรับปรุงการทำงานให้ดีกว่านี้ ขอให้แม่ตนเป็นศพสุดท้ายที่เกิดจากความสะเพร่าของแพทย์   น.ส.อัญญ์ฎานันท์ 


ด้านนายบัญชา  ผลานุวงษ์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลย  เปิดเผยชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า   หลังจากโรงพยาบาลเลยรับนางหนูคิดเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บ มีการทำซีทีสแกนพบว่าเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง  ทางแพทย์เจ้าของไข้ ก็ได้ติดต่อประสานงานสอบถามแนวทางการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ว่าอาการเช่นนี้จะส่งตัวต่อที่อุดรฯหรือไม่  ซึ่งทางแพทย์ผู้เชี่ยชาญก็บอกว่า ให้รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเลยตามคำแนะนำและสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิด กำหนดไว้  6 วัน  ซึ่งก่อนอนุญาตให้คนไข้กลับบ้าน  แพทย์ก็ได้เข้าไปตรวจดูอาการ คนไข้มีการตอบรับที่ดี มีการพยักหน้า และพูดคำว่าขอกลับบ้าน แต่ทางญาติอาจมีการเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยทางแพทย์ก็ได้แนะนำข้อปฏิบัติหลังจากออกจากโรงพยาบาลให้แก่ตัวคนไข้และญาติทราบ หากพบอาการผิดปกติก็ให้มาตรวจซ้ำ  ซึ่งคนไข้ได้บอกแพทย์ว่ากลืนน้ำและอาหารไม่ได้ 

เมื่อไปถึงบ้าน ก็ทราบว่า ญาติให้นำนมถั่วเหลืองมาให้คนไข้หรือนางสมคิดดื่ม แล้วเกิดอาการสำลัก กลายเป็นเหตุซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกแล้วก็หมดสติไป  ซึ่งต้องไปตรวจสอบอีกว่า สมองเสียทำให้สำลัก  หรือนมถั่วเหลืองทำให้สำลักแล้วสมองเสียภายหลัง อย่างไรก็ตาม ต้องรอข้อมูลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดความกระจ่างและให้แพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลเลยได้เรียนรู้ด้วย จะได้กลับมาป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้กับผู้ป่วยรายอื่น

นายบัญชา  ผลานุวงษ์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลย 

สำหรับข้อข้องใจของญาติว่าเหตุใดถึงไม่ส่งคนไข้ไปที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เนื่องจากการประเมินตามหลักการที่กำหนดไว้ อาการดีขึ้นตามลำดับ  ได้เต็ม 15 คะแนน  ทางแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรฯจึงให้อยู่รักษาที่โรงพยาบาลเลยก่อน เพราะต้องยอมรับว่า ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีก็มีคนป่วยที่อาการหนักจำนวนมาก ขณะที่แพทย์ก็มีจำกัด  ส่วนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสมองที่โรงพยาบาลเลยมีอยู่เพียง  1 คน  แต่ขณะนี้มีกำลังป่วย ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้  

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย  ขวัญกำลังใจของแพทย์และพยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องคำถึงนึงด้วย  แต่หาพบว่ามีความผิด หรือบกพร่องจริงก็ต้องลงโทษตามระเบียบกฎหมายต่อไป  ส่วนการให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปเยียวยาจิตใจ และในวันพรุ่งนี้ ผู้บริหารจะเดินทางไปให้กำลังใจ  และพิจารณายื่นเรื่องให้ความช่วยเหลือเงินตามหลักประกันสุขภาพ บัตรทอง มาตรา 41 ด้วย  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลยกล่าว.

ชมคลิป https://youtu.be/bmDB5kOtOwo





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น